วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Science curriculum fremwork in The Rhode Island State

The Rhode Island State Science curriculum Framework
ที่มาของข้อมูล
http://www.ride.ri.gov/instruction/frameworks/science/default.aspx

1. กระบวนการจัดทำหลักสูตรวิทยาศาสตร์ของ The Rhode Island State
มีการจัดทำหลักสูตรวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใหม่บนเกาะแห่งนี้ ดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วเป็นเวลานาน 3 ปี มีเป้าหมายที่น่าสนใจ เพราะคาดหวังที่จะให้หลักสูตรใหม่ที่สร้างขึ้น เป็นหลักสูตรต้นแบบที่สามารถนำไปใช้กับคนอเมริกันทั้งประเทศ มีการประสานงานร่วมมือกันทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน คณะกรรการจัดทำหลักสูตร เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนจากโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกระดับ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนธุรกิจและโรงงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งงานด้วย ในการจัดทำหลักสูตรของ The Rhode Island State ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เครือขายครู, เครือข่ายสิ่งแวดล้อมทางการศึกษา, เครือข่ายวิทยาศาสตร์ประยุกต์เพื่อคนอเมริกัน เป็นต้น


2. การจัดช่วงชั้น
ที่ The Rhode Island State แบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 4 ช่วงชั้น เหมือนกับหลาย ๆ รัฐในอเมริกา โดยแต่ละช่วงชั้นก็จะเรียนวิทยาศาสตร์ในหัวข้อที่เหมือนกัน แต่แตกต่างตรงความลึกของเนื้อหา การแบ่งช่วงชั้น มีดังนี้


Grades K-2 Benchmarks
A. The Nature of Technology
B. The Physical Setting
C. The Living Environment
D. The Human Organism
Grades 3-5 Benchmarks
A. The Nature of Technology
B. The Physical Setting
C. The Living
D. The Human Organism
Grades 6-8 Benchmarks
A. The Nature of Technology
B. The Physical Setting
C. The Living Environment
D. The Human Organism
Grades 9-12 Benchmarks
A. The Nature of Technology
B. The Physical Setting
C. The Living Environment
D. The Human Organism

3. ขอบข่ายเนื้อหาสำคัญในหลักสูตรวิทยาศาสตร์
จุดเด่นของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ของ The Rhode Island State คือเน้นการบูรณาการวิทยาศาสตร์กับสาขาวิชาต่าง ๆ
3.1 The Nature of Science ประกอบด้วย
- โลกวิทยาศาสตร์
- ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
- ความรู้ใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์
3.2 The Nature of Mathematic ประกอบด้วย
- แบบแผนของความสัมพันธ์ระหว่างคณิตศาสตร์กับคณิตศาสตร์, คณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์, คณิตศาตร์กับเทคโนโลยี
- ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
3.3 The Nature of Technology ประกอบด้วย
- เทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์
- การออกแบบและระบบ
- การเผยแพร่เทคโนโลยี
3.4 The Physical Setting ประกอบด้วย
- ระบบจักรวาล
- กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
- โครงสร้างของสสาร
- การถ่ายทอดพลังงาน
- การเคลื่อนที่
- แรง
3.5 The Living Environment ประกอบด้วย
- ความหลากหลายทางชีวภาพ
- การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- เซลล์
- วัฏจักรการถ่ายทอดพลังงานและสสาร
- ปัจจัยควบคุมของสิ่งมีชีวิต
- วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
3.6 The Human Organism ประกอบด้วย
- รูปพรรณสัณฐานของมนุษย์
- การพัฒนาการของมนุษย์
- โครงสร้างพื้นฐาน
- พฤติกรรมการเรียนรู้
- สุขภาพกาย
- สุขภาพจิพ
3.7 The Human Society ประกอบด้วย
- พฤติกรรมการตอบสนอง
- กลุ่มของพฤติกรรม
- การเปลี่ยงแปลงทางสังคม
- การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- ระบบการเมืองและเศรษฐกิจ
- ความขัดแย้งทางสังคม
- การเชื่อมโยงทั่วโลก
3.8 The Desidned World ประกอบด้วย
- การเกษตร
- วัสดุและอุตสาหกรรม
- แหล่งพลังงานและการนำมาใช้
- การติดต่อสื่อสาร
- กระบวนการจัดการข้อมูล
- เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ
3.9 The Mathematict World ประกอบด้วย
- ตัวเลขและจำนวน
- สัญลักษ์แสดงความสัมพันธ์
- รูปร่าง
- การแปรผัน
- การให้เหตุผล
3.10Historical Perspective ประกอบด้วย
- การแทนที่ของโลกจากศูนย์กลางของจักรวาล
- วัตถุบนท้องฟ้าและโลก
- ความสัมพันธ์ของสสาร พลังงาน เวลา อวกาศ
3.11Common Themes ประกอบด้วย
- ระบบ
- แบบจำลอง
- ความมั่นคงและการเปลี่ยนแปลง
- ปริมาณและการวัดค่า
3.12Habbits of Mind ประกอบด้วย
- การให้คุณค่าและทัศนคติ
- การคำนวณและการคาดคะเน
- การควบคุมและการสังเกต
- ทักษะการสื่อสาร
- ทักษะการตอบสนองในภาวะวิกฤต

4. การใช้หลักสูตร
กรอบของมาตรฐานวิทยาศาสตร์ของ The Rhode Island State มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาระดับนานาชาติ แต่เมื่อหลักสูตรใหม่เสร้จสมบูรณ์พร้อมใช้ ก็จะมีการคัดเลือกโรงเรียนต้นแบบ เพื่อเป็นโรงเรียนนำร่องในการใช้หลักสูตรใหม่ ลักษณะดำเนินการในส่วนนี้คล้ายกับในประเทศไทยในปัจจุบันที่มีโรงเรียนนำร่องในการใช้หลักสูตรแกนกลางปี 51
หากผู้อ่านสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรวิทยาศาสตร์ของ The Rhode Island State ก็เข้าไปดูได้ในลิงค์นี้ค่ะ http://www.ride.ri.gov/instruction/frameworks/science/default.aspx

การเรียนการสอนแบบใหม่ของรัฐฟอริดา

เห็นข่าวนี้น่าสนใจเลยเอามาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ

www.telecomjournal.net/index.php?option=com
มีกฎหมายฉบับใหม่เกี่ยวกับการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตของรัฐฟลอริดากำหนดให้เขตต่างๆ ในรัฐฟลอริดามีโรงเรียนเสมือนจริงที่เปิดให้มีการเรียนการสอนอย่างเต็มรูปแบบผ่านอินเทอร์เน็ตขึ้นเป็นของตนเองพร้อมกับให้ร่วมมือกับเขตต่างๆ และผู้ให้บริการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตที่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐเพื่อนำไปจัดการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตสำหรับนักเรียนในเขตของตน โดยการออกกฎหมายฉบับใหม่ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการเรียนการสอนเสมือนจริงมากที่สุดในบรรดารัฐทั้งหลายของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่เคยมีมา และในกฎหมายกำหนดว่าผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเปิดสอนผ่านอินเทอร์เน็ต อาทิ จัดหาเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับใช้เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต และหาวิธีรับมือกับนักเรียนที่ขาดความเอาใจใส่หรือไม่ชอบที่จะนั่งเรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหลายชั่วโมง เป็นต้น
ตั้งแต่ปีการศึกษา 2552 เป็นต้นไป นักเรียนในฟลอริดาจะเป็นรุ่นแรกที่มีสิทธิ์เรียนตั้งแต่อนุบาลจนจบระดับมัธยมปลายและได้รับประกาศนียบัตร (Diploma) จากโรงเรียนของรัฐที่มีการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิ่งผ่านอินเทอร์เน็ต
ก่อนหน้านี้ รัฐฟลอริดาได้ลงทุนเปิดโรงเรียนเสมือนจริง 2 แห่งให้แก่นักเรียนชั้นอนุบาลและนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นอกจากนี้ รัฐฟลอริดายังเปิดโรงเรียนเสมือนจริงที่ชื่อว่า “ฟลอริดาเวอร์ชวลสคูล (Florida Virtual School)” เพื่อเปิดสอนนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมปลาย ซึ่งปรากฏว่าในระหว่างปีการศึกษา พ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2551 มีนักเรียนมากกว่า 57,000 คนลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนฟลอริดาเวอร์ชวลสคูลอย่างน้อยคนละ 1 วิชา เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีการอนุญาตให้นักเรียนสามารถเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด แต่เมื่อมีการออกกฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าวก็จะช่วยให้ตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป นักเรียนในฟลอริดาสามารถที่จะเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทุกรายวิชา และยังมีการคาดการณ์กันว่าการออกกฎหมายฉบับใหม่นี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้มากขึ้นและมีนักเรียนเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่น่าวิตกกังวลว่าหลักสูตรการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนที่มีฐานะยากจนเนื่องจากผู้ปกครองขาดแคลนทุนทรัพย์ในการซื้อหาคอมพิวเตอร์และค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
เจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่ปาล์มบีช (Palm Beach) กล่าวว่า “การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตอาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อาทิ ค่าใช้จ่ายในการซื้อคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้บริหารได้เสนอให้ใช้ห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนเพื่อเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต” อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนที่จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมปลายที่เรียนผ่านอินเทอร์เน็ตกล่าวว่า “รู้สึกสนุกสนานกับรูปแบบวิธีการสอนผ่านอินเทอร์เน็ตที่หลากหลาย อาทิ การสัมมนาผ่านเว็บ การเรียนโดยมีภาพเคลื่อนไหวประกอบ การอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และการสนทนาแบบทันทีทันใด เป็นต้น” ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่ผู้เรียน
กฎหมายฉบับใหม่นี้อาจเอื้อประโยชน์ต่อเขตการศึกษาบางเขตเพราะไม่จำเป็นต้องสร้างโรงเรียนเพื่อรองรับนักเรียน แต่เขตการศึกษาจะต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ อาทิ ค่าฝึกอบรมครูให้สอนแบบอีเลิร์นนิ่งได้ ค่าปรับปรุงหลักสูตรให้ตรงกับมาตรฐานทั่วโลก และค่าใช้จ่ายในการซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เขตการศึกษาสามารถลดปัญหาการดำเนินงานด้านค่าใช้จ่ายเหล่านั้นด้วยการจ้างบริษัทเอกชนให้เข้าไปดูแลจัดการทั้งหมด โดยในกฎหมายได้อ้างถึงบริษัทต่างๆ ที่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาลให้เข้าไปดูแลด้านต่างๆ อีกทั้งการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ตช่วยให้นักเรียนมีอิสระมากขึ้น อาทิ นักเรียนระดับมัธยมปลายสามารถสนทนาปราศรัยหรือทำรายงานผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ และนักเรียนระดับประถมศึกษาสามารถรับหนังสือและสื่อการเรียนได้จากที่บ้าน เป็นต้น ซึ่งอาจจะเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยจุดประกายให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นและรักการเรียนมากขึ้น